pic01

ไฟเวที (Stage Lighting) กับสิ่งที่คุณควรรู้ !!

ไฟเวที (Stage Lighting) | เช่นเดียวกับเสียง ที่ประกอบไปด้วยคลื่นความถี่ที่เราสามารถรับรู้ได้ด้วยหู ในขณะที่แสงไฟ “Light” ก็เป็นเพียงความยาวคลื่นความถี่สูง ที่เราสามารถตีความ และรับรู้ได้ด้วยตา โดยแสงที่มนุษย์สามารถรับรู้ได้นับเป็นส่วนหนึ่งของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ที่อยู่ในช่วงความยาวคลื่น 400 ถึง 700 นาโนเมตร เรียกว่า “แสงที่ตามองเห็น” (Visible Light)ไฟเวที เราจะเห็นได้ว่าในวงการเสียง งานคอนเสิร์ตต่าง ๆ นอกจากระบบเครื่องเสียงที่ดีแล้ว ระบบแสง ไฟ และสีที่ดีนั้น ก็เป็นสิ่งที่ขาดไปไม่ได้เช่นกัน ไฟบนเวที หรือ Stage Lighting นั้นไม่ได้มีหน้าที่เพียงแค่เพิ่มความสว่างบนเวทีอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนทำหน้าที่สร้างสรรค์ เพื่อสื่ออารมณ์ให้กับการแสดงในเชิงศิลปะได้อีกด้วย ดังนั้นในบทความนี้.. เรามาว่ากันด้วยเรื่อง สิ่งที่ควรรู้ !! เกี่ยวกับ “ไฟเวที” (Stage Lighting) เพื่อความเข้าใจจุดประสงค์ในอุปกรณ์แสง และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการแสดงบนเวทีกันครับ

จุดประสงค์ของการจัดไฟเวที ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงวัตถุประสงค์เดียวเท่านั้น โดยหลัก ๆ แล้ว จุดประสงค์ของไฟเวทีมีดังต่อไปนี้ครับ

  • ส่องสว่างบนเวที

วัตถุประสงค์พื้นฐานที่สุดสำหรับการจัด Lighting นั่นก็คือ การให้แสงสว่างแก่นักแสดง ฉาก และอุปกรณ์ประกอบฉาก เพื่อให้ผู้ชมสามารถมองเห็นทุกสิ่ง ที่พวกเขาต้องการเห็นบนเวทีได้อย่างชัดเจน หากแสงสว่างไม่เพียงพออาจทำให้ประสิทธิภาพ และคุณภาพของโปรดักชั่นนั้นถูกลดทอนลงได้ นอกจากนี้.. แสงและสี ก็มีความสำคัญต่อผู้ที่ทำการแสดงบนเวทีในด้านความปลอดภัยด้วยเช่นกัน เพื่อลดโอกาสที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุบนเวทีได้ ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง นักเต้น และนักดนตรีเองก็ตาม

  • เน้นพื้นที่ต่าง ๆ 

การจัดไฟ Lighting ยังช่วยกำหนดทิศทางให้กับผู้ชมได้ว่า ควรโฟกัสไปที่ตำแหน่งใดบนเวที ยกตัวอย่าง เช่น ในกรณีที่มือกีตาร์กำลังทำการโซโล่อยู่ที่หน้าเวที หรือในเวลาที่พิธีกรกำลังขึ้นบรรยาย พื้นที่ส่วนใหญ่บนเวทีอาจมีความมืด โดยมีไฟสปอตไลท์เพียงไม่กี่ดวงที่โฟกัสไปยังตำแหน่งนั้น เพื่อชี้นำความสนใจของผู้ชมไปยังพื้นที่เฉพาะของผู้ที่อยู่เบื้องหน้าเวที

  • การสร้างบรรยากาศ

การจัดไฟ Lighting ยังช่วยให้คุณสร้างภาพลักษณ์ที่พึงประสงค์ให้กับบรรยากาศได้อีกด้วย ยกตัวอย่าง เช่น การสร้างภาพลวงตาด้วยแสง การใช้แสงที่เคลื่อนไหวเพื่อทำให้ดูเหมือนพระอาทิตย์กำลังขึ้น หรือทำให้เวทีมืดไปเมื่อถึงฉากที่นักแสดงกดสวิตช์ไฟ เป็นต้น

  • สื่ออารมณ์ให้การแสดง

ที่สำคัญ.. การจัดไฟ Lighting ยังส่งผลอย่างมากต่ออารมณ์อีกด้วย โดยหลักการแล้วคือการจับคู่แสงกับอารมณ์เนื้อหา หรือสถานการณ์บนเวที เพื่อกระตุ้นอารมณ์ที่เหมาะสมให้กับผู้ชม ซึ่งอาจหมายถึงแสงที่นุ่มนวล และอบอุ่นสำหรับฉากที่มีความสุขในละคร หรือโทนสีเย็นที่สลัว ๆ สำหรับเพลงเศร้า ๆ ในคอนเสิร์ต ซึ่งสีมีความเกี่ยวข้องกับอารมณ์ที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่าง เช่น สีโทนเย็น มักเกี่ยวข้องกับความโศกเศร้า และสีโทนร้อน เกี่ยวข้องกับความรู้สึกที่รุนแรง เป็นต้น

 

ประเภทของไฟเวที

ไฟเวทีที่ใช้เป็นองค์ประกอบบนเวทีกันทั่วไป มีอยู่หลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทได้รับการออกแบบมาเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ ดังนั้นบนเวทีใดเวทีหนึ่งจะไม่ได้มีอยู่แค่ไฟประเภทใดประเภทหนึ่งเท่านั้น ในหัวข้อนี้ผมได้รวบรวมประเภทของไฟเวทีที่พบกันได้บ่อย ๆ ดังนี้ครับ 

  • Ellipsoidal

ไฟเวที Ellipsoidal หรือ “Reflector Spotlight ทรงรี” ให้ลำแสงที่เข้มข้น และชัดเจน นิยมใช้สำหรับเป็นไฟที่ให้แสงด้านหน้าของเวที เป็นไฟที่สามารถปรับโฟกัสของแสงไฟให้มีความนุ่มนวล หรือให้มีความคมมากขึ้นได้ อีกทั้งยังสามารถปรับรูปร่างของแสง เพื่อป้องกันไม่ให้แสงไหลผ่านเข้าสู่บริเวณที่ยังคงต้องการให้มืดได้ นอกจากนี้ยังสามารถสร้างสีสันได้อีกด้วย

ไฟเวที

  • Followspot

Followspot เป็นไฟสปอตไลท์ประเภทหนึ่ง ทำหน้าที่เป็นโฟกัสให้กับนักแสดง หรือนักดนตรีที่เคลื่อนไหวไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ของเวที ไฟประเภทนี้จำเป็นต้องมีการตอบสนอง ต่อผู้ที่ทำการแสดงอยู่ที่หน้าเวทีได้แบบเรียลไทม์ ดังนั้นไฟ Followspot จึงเป็นไฟที่ต้องควบคุมด้วยตนเอง นอกจากนี้ก็ยังสามารถปรับขนาด ระดับความเข้มข้นของแสง และปรับสีได้อย่างง่ายดาย ด้วย Built-in Panel ในตัว

  • Fresnel

Fresnel หรือมีอีกคำที่เรียกว่า “Wash Lights” เป็นไฟที่ตั้งชื่อตามนักประดิษฐ์ ที่ชื่อว่า “Augustin Fresnel” สิ่งที่ทำให้ไฟประเภทนี้มีเอกลักษณ์ที่เฉพาะตัว นั่นก็คือ เลนส์ที่ทำจะมีลักษณะเป็นวงแหวนที่มีจุดศูนย์กลาง และแสงไฟจะสว่างที่สุด ณ จุดศูนย์กลางของวงแหวน แต่จะมีความจางที่ขอบ เป็นไฟประเภทที่ให้แสงสว่างเฉพาะจุดแบบปรับโฟกัส และปรับลำแสงได้

ไฟเวที

  • Par

PAR หรือย่อมาจาก “Parabolic Aluminized Reflector” เป็นส่วนประกอบหลักในการให้แสงสว่างบนเวที โดยไฟ PAR เป็นโคมไฟลำแสงปิดผนึกในโลหะทรงกระบอก ไฟประเภทนี้จะคล้าย ๆ กับไฟหน้ารถ และมีการออกแบบที่เรียบง่าย คุณสามารถใช้ไฟ PAR เพื่อสร้างลำแสงในแนวนอน หรือแนวตั้งได้ โดยมาตรฐานแล้วมักจะสามารถใช้เจล หรือฟิลเตอร์สีเพื่อสร้างสีให้กับแสงไฟได้ แต่ไม่สามารถปรับเปลี่ยนรูปทรงของลำแสงได้

  • Floodlight

เป็นโคมไฟที่ใช้ ชิป LED ในการส่องสว่าง ให้มุมการกระจายแสงที่กว้างกว่าโคมไฟทั่วไป ซึ่งหลาย ๆ คนอาจจะสับสนกับโคมไฟสปอตไลท์ ที่มีหน้าตาคล้าย ๆ กัน จึงทำให้หลายคนเข้าใจผิด เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างโคมไฟ Floodlight กับโคมไฟสปอตไลท์ นั่นก็คือ ไฟสปอตไลท์จะให้แสงสว่างเฉพาะจุด มีมุมกระจายของแสงไม่กว้างเท่า Floodlight ดังนั้นลำแสงของสปอตไลท์ จะเป็นแสงที่พุ่งตรงเพื่อใช้โฟกัสจุดใดจุดหนึ่งนั่นเอง

ไฟเวที

 

  • Cyclorama

ไฟเวที Cyclorama หรือย่อสั้น ๆ ว่า “Cyc” ส่วนใหญ่แล้วมักพบได้บนเวทีสำหรับการแสดงละครเวที เป็นไฟสำหรับส่องสว่างให้กับฉากหลัง หรือ Backdrop โดยไฟ Lighting ประเภทนี้นี้ จะให้คุณลักษณะของการกระจายแสงที่สม่ำเสมอ และมีมุมกระจายแสงที่กว้าง ซึ่งไฟ Lighting เภทนี้สามารถวางบนพื้น หรือแขวนไว้ใกล้กับฉากหลัง เพื่อให้สามารถครอบคลุมฉากหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ

  • Strip Light

Strip Light จะมีความคล้ายกับไฟ Cyc อยู่บ้างเล็กน้อย ตรงที่ประกอบไปด้วยโคมไฟหลายดวง เรียงกันเป็นแถวแนวนอน แต่ไฟ Strip Light จะมีความครอบคลุมของแสงมากกว่าไฟ Cyc ซึ่งไฟประเภทนี้ คือสิ่งที่ Lighting Designer หลายคนใช้ เพื่อเพิ่มความครอบคลุมของสีจำนวนมากให้กับเวที 

ไฟเวที

 



ตำแหน่งการจัดไฟเวที

หลักการพื้นฐานเกี่ยวกับการจัดแสงไฟบนเวทีประการหนึ่ง ที่ต้องทำความเข้าใจก็คือ “ตำแหน่งการจัดไฟ” ซึ่งตำแหน่งการจัดไฟบนเวที ที่ Lighting Designer คำนึงถึงในการออกแบบ มีดังต่อไปนี้ครับ

  • Front Light

Front Light หรือไฟด้านหน้า เป็นตำแหน่งสำคัญหลัก ๆ สำหรับการจัดไฟเวที เพราะเป็นตำแหน่งที่ให้ความส่องสว่างแก่ผู้ที่ทำการแสดง หรือผู้ที่บรรยายอยู่บนเวทีไม่ว่าจะเป็นนักร้อง นักดนตรี นักแสดง และพิธีกร เป็นต้น ทำให้ผู้ชมได้เห็น และเข้าใจองค์ประกอบต่าง ๆ รวมถึงเนื้อหาของการแสดงบนเวทีได้อย่างชัดเจน 

  • Back Light

ตำแหน่งการจัดไฟ Back Light เป็นตำแหน่งที่ทำให้เวที และองค์ประกอบต่าง ๆ บนเวทีมีมิติมากขึ้น โดยที่ Back Light จะอยู่ด้านหลังของเวที หรือด้านหลังของนักแสดง ซึ่งสามารถจัดตำแหน่งไฟ Back Light ตามจุดต่าง ๆ ด้วยไฟ PAR ในแนวตั้งได้ เนื่องจากไฟ PAR สามารถติดตั้งได้ดีในตำแหน่งไฟ Back Light โดยเฉพาะ และสามารถปรับเปลี่ยนสี และความเข้มของแสงไฟได้

  • Down Light

อีกหนึ่งวิธีในการเพิ่มมิติให้กับเวที ก็คือการใช้ดาวน์ไลท์ โดยเป็นตำแหน่งที่วางอยู่บนพื้นเวที และส่องไฟขึ้นด้านบนเพดานเวที ซึ่งดาวน์ไลท์อาจมีความเข้มของแสงที่ต่างกันออกไปครับ

  • Side / High Side Light

Side Light เป็นไฟที่จัดวางในตำแหน่งด้านข้างของเวที เพื่อให้แสงสว่างจากด้านใดด้านหนึ่งแก่นักแสดง นักดนตรี และพิธีกร ในส่วน High Side ก็อยู่ในตำแหน่งด้านข้างเช่นกัน เพียงแต่จะจัดวางให้มีตำแหน่งที่สูงกว่า เป็นตำแหน่งที่ส่องไฟไปที่ศีรษะ และไหล่ของผู้ที่อยู่บนเวที ซึ่งการจัดวางแสงไฟในตำแหน่งเหล่านี้ มีความสำคัญต่อการให้ผู้ชมได้เห็นใบหน้าของผู้ที่อยู่บนเวทีได้อย่างชัดเจน



 

เทคนิคการใช้สีของแสงไฟ

ในเรื่องสีของแสงไฟ เป็นส่วนที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการสร้างบรรยากาศให้กับเวที และสื่ออารมณ์ต่าง ๆ ให้กับผู้ชม โดยเทคนิคหลัก ๆ ในการใช้สีของแสงไฟ มีดังต่อไปนี้ครับ

  • Monochromatic

เป็นเทคนิคการเลือกใช้สีต่าง ๆ ที่อยู่ในเฉดสีเดียวกันตาม Color Wheel หรือเรียกว่า “สีเอกรงค์” ซึ่งเป็นตัวเลือกที่ดีหากต้องการจัดแสงไฟ Lighting ให้มีความเรียบง่าย หรือเน้นสีเดียวครับ

  • Complementary

เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่ใช้สีคู่ตรงข้ามกันตาม Color Wheel หรือสีที่ตัดกันอย่างรุนแรง เพื่อลดความสดของแต่ละสี อาจจะใช้เป็นวิธีการตัดกัน เช่น ใช้สีที่หนึ่งเป็นสีหลัก เป็นสีที่มีพื้นที่มากกว่า และใช้สีที่สอง (สีตรงข้าม) ซึ่งใช้พื้นที่สีน้อยกว่าในการตัด หรืออาจจะใช้เป็นวิธีนำทั้งสองสีมาผสมกันก็ได้ ยกตัวอย่าง เช่น แดงกับเขียว , ม่วงกับเหลือง , น้ำเงินกับส้ม เป็นต้น

  • Triads

เทคนิค Triads Color เป็นการใช้คู่สี 3 เฉด ที่เป็นคู่สีแยกตรงข้ามตาม Color Wheel ที่แยกเป็นทางซ้าย และขวาในลักษณะรูปสามเหลี่ยม ยกตัวอย่าง เช่น แดง/เหลือง/น้ำเงิน หรือ เขียว/ส้ม/ม่วง เป็นต้น เพื่อเพิ่มความหลากหลายในโทนสีของเวทีนั่นเองครับ

  • Adjacent (Analogous)

เป็นเทคนิคที่ใช้สีที่อยู่ข้างเคียงกันทั้งซ้าย และขวาตาม Color Wheel เป็นสีที่มีความคล้ายคลึงกัน เพื่อสร้างความกลมกลืนกัน และลดความขัดแย้งของสี ยกตัวอย่าง เช่น แดง/ส้มแดง/ส้ม หรือ ส้มเหลือง/เหลือง/เขียวเหลือง เป็นต้น 

  • Cool / Warm

เป็นเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับเรื่องอุณหภูมิของสี และเป็นเทคนิคที่สามารถสร้างบรรยากาศได้อีกด้วย Cool Color หรือสีโทนเย็น ประกอบไปด้วย 3 เฉดหลัก ๆ นั่นก็คือ สีเขียว สีน้ำเงิน และสีม่วง เป็นโทนสีที่ให้ความรู้สึกสุภาพ สงบ ลึกลับ เยือกเย็น ในทางจิตวิทยาสีโทนเย็นมีความสัมพันธ์กับความรู้สึกหดหู่ และเศร้าครับ ในส่วนของ Warm Color หรือสีโทนร้อน บางคนก็เรียกว่าสีโทนอุ่น ประกอบไปด้วย 3 เฉดหลัก ๆ เช่นกัน นั่นก็คือ สีแดง สีส้ม และสีเหลือง เป็นโทนสีที่ให้ความรู้สึกตื่นตา มีพลัง อบอุ่น สนุกสนาน และดึงดูดความสนใจได้ดีครับ

 

  • เกร็ดความรู้เพิ่มเติม

สีของแสงไฟ Lighting บนเวที เป็นสิ่งที่สามารถสื่อ และกระตุ้นอารมณ์บางอย่าง หรือส่งผลต่อความรู้สึกโดยรวมต่อฉาก และการแสดงได้ แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด เพราะนอกจากนี้ โทนของสียังเป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นสัญลักษณ์ ความเชื่อมโยงกันกับธีมหลักของการแสดง และเวทีได้อีกด้วยครับ

 

คำศัพท์ ! ที่ควรรู้ เกี่ยวกับแสงไฟ

  • Wash

Wash ในภาษาไทยที่แปลว่า “ล้าง” เป็นศัพท์ที่ใช้เรียกไฟที่มีลักษณะของลำแสงที่กว้าง ครอบคลุมได้อย่างสม่ำเสมอทั้งเวทีนั่นเองครับ

  • Intensity

Intensity หรือ “ความเข้ม” คือศัพท์ที่ Lighting Designer ใช้เพื่ออธิบายระดับความสว่างของแสงไฟเวที 

  • Diffusion

Diffusion ในภาษาไทยแปลว่า “การกระจาย” หมายถึง การที่แสงสะท้อน หรือกระทบกับตัวกลางที่มีพื้นผิวไม่เรียบ และกระจายทิศทางการสะท้อน หรือการนำแสงโดยไม่อิงกับแนวฉาก ทำให้วัตถุที่สะท้อนมีความสว่าง

say

สายสัญญาณ และการเชื่อมต่อในระบบเสียง

Audio Cables & Connection

สายสัญญาณ และการเชื่อมต่อในระบบเสียง ด้วยประเภทของสายสัญญาณต่าง ๆ ที่มีอยู่มากมาย จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไปที่จะฟันธงว่า “สายสัญญาณประเภทใด คือ สายสัญญาณ ที่ดีที่สุด” เนื่องจากว่ายังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ต้องคำนึงถึงอีกด้วย โดยหลัก ๆ แล้วยกตัวอย่าง เช่น ความยาวของสาย และอุปกรณ์ที่รองรับ เป็นต้น ดังนั้นในบทความนี้ เราจะมาว่ากันด้วยเรื่อง “สายสัญญาณ” และ “การเชื่อมต่อ” ในระบบเสียงกันครับ เพื่อเป็นการเพิ่มความเข้าใจ และการนำไปใช้ให้ได้ประสิทธิภาพที่สุด เมื่อพร้อมแล้ว.. เรามาติดตามไปพร้อม ๆ กันได้ในบทความนี้ครับ

Balanced & Unbalanced

ก่อนที่เราจะเจาะลึกลงไปถึงรายละเอียด ของสายสัญญาณประเภทต่าง ๆ ยังมีประเด็นที่สำคัญอยู่อีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ “รูปแบบสัญญาณ” ของสายแต่ละประเภท ซึ่งทั้งหมดนี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้ครับ :

  • สายสัญญาณ Balanced

สายสัญญาณ Balanced ได้รับการออกแบบมา เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการรบกวนทางไฟฟ้าภายนอกโดยเฉพาะ ข้างในประกอบไปด้วย สายสัญญาณ 3 เส้น ได้แก่ Ground (Shield) , สัญญาณขั้ว บวก (Hot) และ สัญญาณขั้ว ลบ (Cold)

 

ซึ่งหลักการทำงานของสาย Balanced ก็คือ เมื่อส่งสัญญาณผ่านสายสัญญาณ Balance จะทำให้ Noise หรือเสียงรบกวนจากภายนอกกลับเฟสกัน และเกิดการหักล้างกัน จนเหลือแต่สัญญาณที่ป้อนไป ซึ่งเมื่อสัญญาณถูกส่งไปถึงปลายทาง อุปกรณ์ที่รับสัญญาณก็จะทำการกลับเฟสคืน ผลที่ได้ก็คือ สัญญาณที่ส่งไปหลังจากการกลับเฟสคืนนั้น สัญญาณจะเข้ม และชัดเจนขึ้นเป็น 2 เท่า อธิบายด้วยสมการไฟฟ้าได้ดังนี้ : 

สายสัญญาณ

  • สายสัญญาณ Unbalanced

สายสัญญาณ Unbalanced จะมีเพียงสายสัญญาณขั้ว บวก (Hot) และสาย Ground (Shield) เพียงเส้นเดียวเท่านั้น

หลักการทำงานของสายสัญญาณแบบ Unbalanced จะไม่ได้ซับซ้อนแบบ Balanced ก็คือ สายสัญญาณขั้ว บวก เป็นสายสัญญาณที่ใช้ส่งสัญญาณ โดยไม่ผ่านการกลับเฟสใด ๆ ทั้งสิ้น และจะมีเพียงสาย Ground ที่เป็นสาย Shield เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวนเท่านั้น ซึ่งข้อจำกัดของสายสัญญาณแบบ Unbalanced ก็คือ ความยาวของสาย ถ้าหากสายยิ่งยาว Noise ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

โดยทั่วไปที่เราสามารถพบเห็นกันได้บ่อย ๆ สายสัญญาณที่ถูกใช้บ่อย ๆ ตามบ้าน และในกลุ่มผู้ใช้งานระดับ Consumer ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นสายสัญญาณแบบ Unbalanced ซึ่งรวมถึงการใช้กับเครื่องดนตรีด้วย ยกตัวอย่าง เช่น กีตาร์ไฟฟ้า และเบส เป็นต้น แต่เมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้กับงานเครื่องเสียงระดับมืออาชีพ สายสัญญาณแบบ Balanced จึงเข้ามามีบทบาทอย่างมาก เช่น การใช้เป็นสายสัญญาณ เพื่อคุณภาพของสัญญาณเสียงที่ดีนั่นเองครับ

ประเภทสายสัญญาณ

เมื่อมีความเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างสายสัญญาณแบบ Balanced และ Unbalanced แล้ว เรามาดูกันต่อครับ ว่าสายสัญญาณประเภทต่าง ๆ ในระบบเสียงมีประเภทใดบ้าง 

  • TS

สายสัญญาณ

สาย TS หรือย่อมาจาก Tip / Sleeve ที่มักเรียกกันว่า “สายกีต้าร์” หรือ “สายเครื่องดนตรี” สายสัญญาณ Unbalanced ประเภทหนึ่ง ที่มีการเชื่อมต่อสัญญาณเสียงแบบ Mono (1 ช่องสัญญาณ) ที่ไม่ควรใช้ขนาดความยาวมาก ๆ ควรต้องให้สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะอย่างที่ผมได้กล่าวไปในหัวข้อก่อนหน้านี้ว่า ความยาวของสาย ถ้าหากสายยิ่งยาว Noise ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยสาย TS จะมีลักษณะเป็นแจ็คขนาด 1/4″ (ุ6.3mm) 

  • TRS

แม้ว่าดูด้วยสายตา สาย TRS อาจจะดูคล้ายกับสาย TS แต่จะสามารถสังเกตเห็นได้ถึงความแตกต่างได้ เนื่องจากมีขีดสีดำ 2 ขีดที่ส่วนหัวแจ็ค สาย TRS หรือย่อมาจาก Tip / Ring / Sleeve เป็นสายสัญญาณแบบ Balanced โดยมีสายสัญญาณขั้ว บวก , ลบ และกราวด์เป็นองค์ประกอบ สาย TRS เพียงเส้นเดียว ยังสามารถใช้เชื่อมต่อสัญญาณแบบ Mono (1 ช่องสัญญาณ) หรือ Stereo (2 ช่องสัญญาณ) ก็ได้ ที่เราพบเห็นกันได้บ่อย ๆ ในระบบเสียงมืออาชีพ อีกทั้งยังมีแบบขนาด 3.5mm สำหรับสายหูฟัง Headphone อีกด้วย แต่จะเป็นแบบสัญญาณ Unbalanced ครับ เนื่องจากว่า TRS (3.5mm) จะประกอบไปด้วยสายสัญญาณขั้ว บวก 2 ขั้ว และสายกราวด์เท่านั้น แต่ก็ยังสามารถส่งสัญญาณได้แบบ Stereo ครับ

  • XLR

สาย XLR สายสัญญาณแบบ Balanced หนึ่งในประเภทสายสัญญาณที่มีเอกลักษณ์ และมีความทนทานที่สุด นั่นหมายความว่าคุณสามารถใช้สาย XLR ที่มีความยาวมาก โดยไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดการสูญเสียคุณภาพของสัญญาณเสียง หรือการถูกแทรกด้วยสัญญาณรบกวนเช่นเดียวกัน และเรามักจะเห็นการใช้สาย XLR อยู่ในอุปกรณ์เสียงหลายประเภท โดยเฉพาะไมโครโฟน , ลำโพง , มิกเซอร์ และอุปกรณ์ระบบเสียง PA ต่าง ๆ เป็นต้น เหตุผลที่อุปกรณ์เครื่องเสียงเหล่านี้ ใช้การเชื่อมต่อด้วยสาย XLR นั่นก็เพราะว่า เพื่อรับประกันสัญญาณเสียงที่คมชัด และมีความเสถียร ไม่ว่าจะใช้ความยาวสายขนาดเพียง 6 ฟุต หรือยาวกว่า 50 ฟุตก็ตาม

  • Speakon

สายสัญญาณ

 

สาย Speakon เป็นสายสัญญาณแบบ Unbalanced ที่เราไม่ค่อยเห็นกันตามบ้าน หรือเครื่องเสียงระดับ Consumer แต่มักจะพบเห็นลักษณะการใช้เป็นสายเชื่อมต่อระหว่าง เพาเวอร์แอมป์ เข้ากับลำโพงในวงการคนทำระบบเสียงมืออาชีพ ด้วยความที่สาย Speakon จะเป็นสัญญาณแบบ Unbalanced มันจึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งสำหรับใช้ทดแทนสาย TS (เฉพาะอุปกรณ์ระบบเสียงที่มี Input สำหรับสาย Speakon) เนื่องจากว่าสาย Speakon ได้รับการออกแบบมาให้ใช้กับระบบเสียงที่มีกระแสไฟสูงได้ และสามารถล็อกกับช่อง Input ได้ 

  • Banana

สายแบบหัว Banana เป็นสายสัญญาณแบบ Unbalanced ประเภทหนึ่งที่มีต้นกำเนิดจากประเทศฝั่งยุโรป นิยมใช้กันตามเครื่องเสียงภายในบ้าน เชื่อมต่อระหว่างเพาเวอร์แอมป์ เข้ากับลำโพง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดลำโพงโฮมเธียเตอร์ แม้ว่าดูจากภายนอกแล้วจะมีความคล้ายคลึงกับสาย RCA ก็ตาม แต่สายแจ็คแบบหัว Banana ก็มีโครงสร้างที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน และได้รับการออกแบบมาทำให้การเชื่อมต่อมีความเรียบร้อย ลดความยุ่งเหยิง และปลอดภัยยิ่งขึ้น 

  • RCA

สาย RCA เป็นสายสัญญาณแบบ Unbalanced อีกประเภทหนึ่ง ที่เราสามารถพบเห็นได้บ่อย ๆ ในระบบเสียง A/V ภายในบ้าน นอกจากนี้ก็ยังพบเห็นได้ในเครื่อง DJ Controller และด้วยความที่สาย RCA เป็นสายสัญญาณแบบ Unbalanced ดังนั้นแล้วจึงไม่แนะนำให้ใช้สายที่มีความยาวมากจนเกินไปครับ

  • S/PDIF

สายสัญญาณ

S/PDIF หรือย่อมาจาก Sony / Phillips Digital Interface เป็นการเชื่อมต่อสัญญาณเสียงแบบดิจิตอล (ในระยะไม่เกิน 10 เมตร) โดยการส่งสัญญาณของ S/PDIF จะมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน นั่นก็คือ แบบ Coaxial (RCA) ส่งสัญญาณในรูปแบบไฟฟ้าผ่านสายสัญญาณ และแบบ Optical (Toslink) ที่ส่งสัญญาณผ่านสายใยแก้วนำแสง ซึ่ง S/PDIF มักพบเห็นได้ในระบบเสียง A/V ตามบ้านระดับ Consumer ทั่วไปจนถึงระดับ Hi-Fi เช่น TV , DAC หรือแม้แต่ใน Audio Interface หลาย ๆ รุ่นก็มีเช่นกัน

compresser

Compressor และ Limiter ต่างกันอย่างไร ?

คอมเพรสเซอร์ VS ลิมิตเตอร์

Compressor และ Limiter ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของ Plug-In หรืออุปกรณ์ DSP ในระบบเสียงกลางแจ้ง ต่างก็มีหน้าที่ในการจัดการเรื่องไดนามิกของเสียง เพื่อจัดการไดนามิกของเสียงให้มีความนิ่ง และไพเราะมากยิ่งขึ้น โดยการกด หรือบีบอัดสัญญาณ และรักษาระดับความดังเฉลี่ยให้ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตามทั้งคอมเพรสเซอร์ และลิมิตเตอร์ ต่างก็มีจุดที่แตกต่างกันอยู่ ในส่วนของความแตกต่างนั้นจะคืออะไร ติดตามได้ในบทความนี้ครับ

คอมเพรสเซอร์ และลิมิตเตอร์ คืออะไร ?

  • คอมเพรสเซอร์

Compressor คือ เครื่องมือที่ช่วยบีบอัดไดนามิกของสัญญาณเสียง เพื่อสร้างความเป็นธรรมชาติให้กับสัญญาณเสียงนั้น โดย Dynamic Range หมายถึง ช่วงความแตกต่างระหว่างระดับเสียงที่ดังที่สุด กับระดับเสียงที่เบาที่สุดในสัญญาณเสียงนั้น คอมเพรสเซอร์จะทำการกดระดับเสียงที่ดังที่สุดลงมา เพื่อให้ได้ระดับความดังเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกัน

  • ลิมิตเตอร์

ในส่วนของ Limiter คือ เครื่องมือสำหรับการประมวลผลสัญญาณเสียง ที่เกี่ยวข้องกับ Dynamic Range คล้าย ๆ กันกับคอมเพรสเซอร์ แต่จะต่างกันตรงที่ลิมิตเตอร์จะบล็อก Amplitude ของสัญญาณเสียง ไม่ให้ดังเกินกว่าค่าที่กำหนดเอาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการ Peak หรือ Clip แม้ว่าเราจะทำการ Make-up Gain แค่ไหน ลิมิตเตอร์ก็จะบล็อกไม่ให้ Amplitude ของเสียงสูงขึ้นไปกว่านี้

 

 

การปรับค่าคอมเพรสเซอร์

คอมเพรสเซอร์จะมีปุ่ม Knob ต่าง ๆ ไว้สำหรับการตั้งค่า เช่น Threshold , Ratio , Knee , Attack Time , Release Time และอื่น ๆ โดยปุ่มปรับค่าต่าง ๆ มีหลักการทำงานดังนี้ครับ :

Compressor

  • Threshold

Threshold คือ การกำหนดระดับเกณฑ์ที่คอมเพรสเซอร์จะเริ่มทำงาน เช่น หากเราตั้งค่าระดับ Threshold ไว้ที่ -10 dB ดังนั้นเมื่อระดับสัญญาณถึง หรือสูงกว่า -10 dB ขึ้นไป Compressor ก็เริ่มทำการกดไดนามิกของสัญญาณเสียง โดยเป็นการกดเฉพาะจุดที่สูงกว่า Threshold ที่กำหนดไว้

  • Ratio

Ratio คือ อัตราส่วนการบีบอัดสัญญาณ โดยใช้ dB เป็นหน่วยวัดอ้างอิงการบีบอัด ยกตัวอย่าง เช่น Ratio 1:1 หมายถึง หากมีสัญญาณเข้า 1 dB ก็จะออก 1 dB พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ “ไม่มีการบีบอัดเลย” แต่ถ้าหากตั้งค่า Ratio ไว้ที่ 2:1 นั่นก็หมายถึง หากมีสัญญาณเข้า 2 dB ก็จะออกเพียง 1 dB เท่านั้น เป็นต้น ในกรณีที่ใช้งานจริง สมมุติว่าสัญณาณเข้ามาที่ 16 dB และคุณปรับ Ratio ที่ 4:1 นั่นแปลว่า คอมเพรสเซอร์จะทำการบีบอัดสัญญาณ ให้ออกเพียงแค่ 4 dB เท่านั้นครับ

  • Knee

Knee คือ การกำหนดความเป็นธรรมชาติ ในการเปลี่ยนสถานะของสัญญาณเสียง จากสัญญาณที่ยังไม่ถูกบีบอัด ไปสู่การเป็นสัญญาณที่ถูกบีบอัดแล้ว โดยในคอมเพรสเซอร์หลาย ๆ รุ่นก็สามารถปรับค่าได้อย่างละเอียด ในขณะที่อีกหลาย ๆ รุ่นก็จะมีให้เลือกเพียงระหว่าง “Soft Knee” (ค่อย ๆ บีบอัดสัญญาณ) และ “Hard Knee” (บีบอัดสัญญาณอย่างรุนแรง)

  • Attack Time

Attack Time หมายถึง ความเร็วของเวลา ที่ใช้ในการเข้าทำบีบอัดสัญญาณอย่างเต็มที่ หลังจากสัญญาณถึงเกณฑ์ของ Threshold ที่กำหนดไว้ โดยใช้หน่วยวัดเป็น ms (milliseconds) 

  • Release Time

Release เป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกันกับ Attack Time ซึ่งหมายถึง เวลาที่ใช้ในการเปลี่ยนสถานะสัญญาณที่ถูกบีบอัดแล้ว กลับคืนสถานะสัญญาณเดิมที่ยังไม่ถูกบีบอัด โดยใช้หน่วยเป็น ms เช่นกัน ซึ่งการบีบอัดสัญญาณต่อ 1 ครั้ง จะนาน หรือสั้นแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับการปรับค่า Release Time ครับ

  • Output Gain (Make-up Gain)

Output Gain หรือ Make-up Gain แล้วแต่ผู้ผลิตแต่ละแบรนด์จะใช้เรียกแบบไหน แต่ทั้ง 2 คำนี้มีความหมายเดียวกัน นั่นคือ ส่วนที่ทำหน้าที่ในการชดเชยความดังระดับสัญญาณ ที่สูญเสียไปจากการบีบอัดนั่นเอง

การปรับค่าลิมิตเตอร์

เมนูฟังก์ชั่นต่าง ๆ ของ Limiter จะมีความเหมือนกับ Compressor อยู่บ้าง เพียงแต่ลิมิตเตอร์จะไม่มีการปรับ Knee และ Ratio โดยลิมิตเตอร์จะมีเมนูฟังก์ชั่นสำหรับการปรับค่า ที่ต่างจากคอมเพรสเซอร์ดังนี้ครับ : 

Limiter

  • Ceiling Output

การปรับค่า Ceiling Output ของลิมิตเตอร์ ค่อนข้างจะมีความคล้ายกับ Threshold ของคอมเพรสเซอร์ นั่นก็คือ การกำหนดระดับเกณฑ์ที่ลิมิตเตอร์จะเริ่มทำงาน หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ การกำหนดเพดานสัญญาณเสียง ที่ไม่ต้องการให้เกิด Peak หรือ Clip ยกตัวอย่าง เช่น หากกำหนด Ceiling Output ไว้ที่ -0.1 dB เมื่อระดับเสียงถึงเพดานที่กำหนดไว้ หรือทำการ Make-up Gain ขึ้น ระดับ Amplitude สูงสุดของสัญญาณเสียงนั้น ก็จะถูกบล็อกไว้ไม่ให้เกิน -0.1 dB ครับ

  • Loudness Metering

Loudness Metering จะเป็นในลักษณะของกราฟ สำหรับการวัดระดับความดังของเสียง โดยปกติแล้วใช้หน่วยวัดเป็น LUFS (Loudness Units Full Scale) สำหรับ Sound Engineer ในสตูดิโอก็จะใช้หน่วยวัดนี้ เพื่อทำการ Mastering เพลง ให้มีความดังที่เหมาะสมกับแพลตฟอร์มต่าง ๆ แต่ในส่วนงานระบบเสียงกลางแจ้ง ลิมิตเติอร์ก็มีความสำคัญเช่นกัน ในการป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายต่อดอกลำโพงนั่นเองครับ

สรุป ความแตกต่างของ Compressor และ Limiter

ในคอมเพรสเซอร์บางรุ่น เราอาจจะพบว่ามีการ Built-in ลิมิตเตอร์มาให้ในตัว แต่โดยทั่วไปที่เราพบเห็นกันส่วนใหญ่นั้น คอมเพรสเซอร์ และลิมิตเตอร์จะทำงานแยกส่วนออกจากกัน เพราะสิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างสองสิ่งนี้ นั่นก็คือ คอมเพรสเซอร์ จะทำหน้าที่ในการ “กด” ไดนามิกของเสียงที่ดัง ลงมาให้อยู่ในระดับเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกัน ส่วนลิมิตเตอร์ จะทำหน้าที่ในการ “บล็อก” Amplitude ของเสียง เพื่อไม่ให้เกิดการ Peak หรือ Clip เพื่อความปลอดภัยของดอกลำโพง ทั้งคอมเพรสเซอร์ และลิมิตเตอร์เองนั้น ไม่ได้มีหน้าที่ทำให้เสียงที่เบาดังขึ้น เพราะสิ่งที่ทำให้ไดนามิกของสัญญาณดังขึ้นจริง ๆ นั่นก็คือการ “Make-up Gain” ครับ

led

ทำความรู้จัก “ไฟ LED” ในระบบแสงสีบนเวที

LED Lighting ในระบบแสงสีบนเวที

ไฟ LED หรือย่อมาจาก “Light Emitting Diode” ถูกประดิษฐ์ขึ้นในช่วงปี ค.ศ.1960 ซึ่งในตอนแรกยังเป็นไฟที่ให้แสงสว่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในปัจจุบันแทบจะไม่มีเวทีไหนเลย ที่จะไม่มีไฟ LED เป็นองค์ประกอบระบบแสงสี โดยปกติแล้ว.. ไฟสปอร์ตไลท์เกือบทุกประเภท จะมี “ไดโอด” หลายแบบ เช่นเดียวกับหลอดไฟทั่วไป ในส่วนของไฟ LED จะมีขั้วบวก และขั้วลบ เมื่อไดโอดเชื่อมต่อกับกระแสไฟ อิเล็กตรอนจะเดินทางจากขั้วหนึ่ง ไปยังอีกขั้วหนึ่ง และพลังงานที่ได้ออกมาจากกระบวนการนี้ จะถูกปล่อยออกมาเป็นในลักษณะของแสง (Photon)

ต่อเนื่องมาจากบทความก่อนหน้านี้ สิ่งที่ควรรู้ !! เกี่ยวกับ “ไฟเวที” (Stage Lighting) ดังนั้นบทความนี้ เราจะมาขยายความกันต่อครับ ในเรื่องที่เกี่ยวกับไฟเวที นั่นก็คือ “ไฟ LED” ที่ใช้ในระบบแสงสีบนเวที เพื่อทำความรู้จัก และทำความเข้าใจไปพร้อม ๆ กันครับ 

ประเภทของไฟ LED ในระบบแสงสีบนเวที

  • Warm white / Cool white

หลอดไฟวอร์มไวท์ จะมีช่วงอุณหภูมิของสีโดยประมาณอยู่ที่ 2,700 ถึง 3,000 เคลวิน ภายในหลอดไฟ LED สีขาว จริง ๆ แล้วมี LED สีฟ้าที่ซึ่งมักจะเคลือบชั้นด้วยสารเรืองแสง ส่งผลให้แสงที่ออกมาเป็นแสงสีขาวนวล จึงเรียกว่า หลอดไฟ Warm white ให้โทนแสงนวล ๆ อุ่น ๆ ที่ไม่ได้ให้ความสว่างมากนัก ช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่น โรแมนติก ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย อีกทั้งยังเป็นแสงไฟที่มีความสบายตามากที่สุด

หลอดไฟคูลไวท์ จะมีช่วงอุณหภูมิของสีโดยประมาณอยู่ที่ 4,000 ถึง 4,200 เคลวิน ให้โทนแสงสีขาวนวล สว่างตา เป็นแสงไฟที่ให้ความสบายตา และยังให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา อีกทั้งยังช่วยให้มองเห็นสิ่งรอบข้างได้อย่างชัดเจน เมื่อเทียบกับหลอดไฟวอร์มไวท์

ไฟ LED

Eurolite LED Theatre 36x 3W
ขอบคุณรูปภาพจาก Thomann

โดยหลักการแล้ว หลอดไฟ LED แบบ Warm white และ Cool white ไม่สามารถเปลี่ยนแสงเป็นสีอื่นได้ แต่จะมีเฉดสีขาวให้เลือกใช้งานได้หลากหลายเฉด ตั้งแต่สีขาวนวล ที่ให้อุณหภูมิของสีสูงสุดที่ 3,400 เคลวิน สีขาวธรรมชาติที่ 5,000 เคลวิน และไปจนถึงสีขาวกลางวัน อุณหภูมิของสีสูงสุดถึง 6,800 เคลวิน ซึ่งมักจะพบเห็นได้ทั้งแบบ Fresnel Tungsten Spotlight และแบบ Daylight LED Spotlight ซึ่งมีคุณสมบัติครอบคลุม Spectrum ของสีขาวได้ดี

  • Single-Color

คุณสามารถพบไดโอดเหล่านี้ได้ในไฟสปอตไลท์ทั่วไป ซึ่งเป็น ไฟเวที LED ประเภทที่ไม่สามารถเปลี่ยนสีได้ หรือไม่มีสีอื่นผสมเลย ยกตัวอย่าง เช่น สีแดง ก็คือสีแดงไปเลยนั่นเอง จะไม่เหมือนกับ RGB-LED PAR ที่มีไฟ LED หลายดวง ซึ่งประกอบไปด้วย สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน ช่วยให้คุณสามารถได้สีที่ผสมกันตามต้องการ ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อวัตถุเกิดกระทบกับแสง RGB จึงทำให้เกิดเงาหลายสี ยิ่งไดโอดอยู่ห่างกัน และยิ่งวัตถุอยู่ใกล้มากเท่าใด เงาสีก็จะยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น

  • RGB / RGBW และ RGBA

ไฟ RGB ในที่นี้ หมายถึง โคมไฟ LED ที่ประกอบไปด้วย สีแดง (Red) , สีเขียว (Green) และสีน้ำเงิน (Blue) ซึ่งเป็นระบบแม่สี RGB ทำให้เกิดการผสมสีของแสงได้ ในส่วนของไฟ RGBW นั่นก็คือ ไฟ RGB ที่สามารถเปลี่ยนเป็นสีวอร์มไวท์ได้ ด้วยรีโมทคอนโทรลเลอร์ หรือมีสีวอร์มไวท์เป็นส่วนประกอบในโคมไฟดวงนั้นด้วย และในส่วนของไฟ RGBA หรือย่อมาจาก Red Green Blue Alpha เป็นไฟ LED ที่สามารถปรับความโปร่ง และความทึบของแสงได้ โดยใช้ค่าคอมโพเนนต์สี ช่วงตั้งแต่ 0 (โปร่ง) จนถึง 255 (ทึบ) และสามารถใช้เป็นค่าเปอร์เซ็นต์ 0% ถึง 100% ก็ได้เช่นกัน

Stairville LED Par56 MKII RGBW
ขอบคุณรูปภาพจาก Thomann

  • Tri LED / Quad LED

Tri LED และ Quad LED ก็คือ ไฟ LED ประเภทที่รวม RGB หรือ RGBW ไว้ในหลอด LED ดวงเดียว ซึ่งจะช่วยให้คุณสามารถเปลี่ยนสี หรือผสมสีให้ออกมาเป็นเฉดสีต่าง ๆ ตามระบบแม่สี RGB ได้อย่างละเอียดมากขึ้น 

Stairville Led Par 64 CX-1 RGB+W 15x3W
ขอบคุณรูปภาพจาก Thomann

2 หน้าที่หลักของไฟ LED ในระบบแสงสีบนเวที

  • ไฟเอฟเฟค

แสง และสี เป็นสิ่งที่มีอิทธิพล ช่วยให้การแสดงบนเวทีมีความน่าสนใจ สร้างความตื่นตา และสร้างประสบการณ์ที่ดีในการชมคอนเสิร์ต หรืองานแสดงให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างมาก

ไฟ LED

  • ไฟประดับ

แน่นอนครับว่า แสง และสี เป็นองค์ประกอบที่ขาดไปไม่ได้สำหรับเวที นอกจากการใช้เป็นเอฟเฟคแสง เพื่อสร้างอารมณ์ และดึงดูดความน่าสนใจแก่ผู้ชมแล้ว การใช้เป็นไฟประดับ เพื่อการออกแบบเวทีอย่างสร้างสรรค์ และให้ความส่องสว่างบนเวทีให้กับนักแสดง นักดนตรี และศิลปิน ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันครับ

 

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

 

Moving Head

เมื่อพูดถึงเรื่องไฟ Moving Head เราจะแยกยะออกเป็น Wash Light , Beam Light และ Spotlight ดังนี้ครับ :

Wash Light เหมาะกับการส่องสว่างพื้นที่ต่าง ๆ บนเวทีในรัศมีกว้าง ซึ่งไม่เพียงแต่ให้ความสว่างในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เป็นแสงไฟเอฟเฟคได้อีกด้วย

ไฟ LED

Stairville novaWash Quad LED Moving Head
ขอบคุณรูปภาพจาก Thomann

หากเป็น Spotlight แบบ Moving Head คุณจะพบว่าหลาย ๆ รุ่น มันสามารถที่จะฉายภาพ Gobo แบบต่าง ๆ ได้อีกด้วย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับช่วงการซูม – ขยายลำแสง และนอกจากนี้ยังสามารถใช้เทคนิคการผสมของแสงในพื้นที่ และเอฟเฟคได้ 

Stairville MH-x200 Pro Spot Moving Head
ขอบคุณรูปภาพจาก Thomann

Beam Light เป็นไฟ Moving Head ที่นิยมอย่างมาก โดยทางผู้ผลิตหลาย ๆ เจ้า ต่างแข่งขันกันเพื่อทำลายสถิติในด้านมุมการกระจายแสงที่แคบที่สุด และการส่งออกจำหน่ายสูงสุด Beam Light ยังสามารถใช้งานกับปริซึม Gobos และสีต่าง ๆ ได้

LED Bar

ไฟ LED Bar เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในการออกแบบระบบแสงสีบนเวที แม้ว่าจะเป็นไฟ LED ที่ไม่สามารถควบคุม หรือสั่งการแบบอิสระได้อย่างไฟ Moving Head และมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่จำกัด อย่างไรก็ตาม LED Bar ก็มีข้อดีในเรื่องของสี และแสงที่มีความสามารถในการหรี่แสงได้อย่างต่อเนื่อง และฉายแสงได้อย่างสม่ำเสมอ อย่าจำสับสนนะครับ ระหว่าง LED Bar กับ LED Strip ที่ซึ่งมีความยาว และความยืดหยุ่น และเหมาะสมสำหรับการตกแต่งเวทีด้วยแสงโดยเฉพาะ

ไฟ LED

Stairville Led Bar 240/8 RGB DMX 30°
ขอบคุณรูปภาพจาก Thomann

สรุป

เหตุผลหลักที่สนับสนุนข้อดีของการใช้ไฟ LED นั่นคือ การกินพลังงานน้อย เมื่อเทียบกับหลอดไฟ “Halogen” ที่ให้แสงสว่างใกล้เคียงกัน ไฟ LED จะใช้พลังงานเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น มีความทนทานสูง โดยบางรุ่นสามารถใช้งานสูงสุด 50,000 ชั่วโมง นอกจากนี้ไฟ LED ไม่ปล่อยความร้อน ข้อดีข้อนี้จะสร้างความสบายใจให้กับนักแสดง นักดนตรี ศิลปินได้อย่างแน่นอน ที่เห็นได้ชัดเจนบนเวที นั่นก็คือ ศิลปินมีเหงื่อออกน้อยลง และอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็ไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อความเสียหาย ที่เกิดจากอุณหภูมิที่สูงนั่นเองครับ

mixer-1536x1324

มิกเซอร์อนาล็อกหรือดิจิตอล ที่เหมาะกับคุณ?

มิกเซอร์อนาล็อกหรือดิจิตอล ที่เหมาะกับคุณ?

มิกเซอร์อนาล็อกหรือดิจิตอล ไม่ว่าจะเป็นมิกเซอร์แบบไหน สิ่งที่เหมือนกันคือ การรับสัญญาณเสียงจากหลาย ๆ แหล่งรวมเข้าไว้ด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น สัญญาณเสียงจากไมโครโฟน เครื่องดนตรี เครื่องเล่นเพลง คอมพิวเตอร์ เป็นต้น แล้วส่งสัญญาณไปยังอุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบเสียง ยกตัวอย่างเช่น โปเซสเซอร์ เพาเวอร์แอมป์ ลำโพง  ซึ่งมิกเซอร์แต่ละประเภท จะมีรูปแบบ และประสิทธิภาพในการใช้งานแตกต่างกันไป สิ่งที่สำคัญคือ ต้องเลือกใช้มิกเซอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งานนั่นเอง

มิกเซอร์อนาล็อก

แม้บางครั้งในการใช้งานดิจิตอลมิกเซอร์ จะมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ครบครัน และสะดวกสบาย แต่มิกเซอร์อนาล็อกก็ยังเป็นที่นิยมอยู่จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากมีประโยชน์มากมายสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งานมิกเซอร์ ราคาเริ่มต้นที่ไม่สูงจนเกินไป แต่ก็สามารถใช้งานได้เช่นกัน การส่งสัญญาณของมิกเซอร์อนาล็อกนั้นค่อนข้างเข้าใจง่าย โดยเรียงสัญญาณ เริ่มจากช่องเสียบสัญญาณอินพุต แล้วส่งสัญญาณไปตามลำดับที่เรียงอยู่ในช่องนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น Input → Pad → Gain → HPF → Compressor → EQ → Feder → Pan → Group → Master Fader เป็นต้น การใช้ EQ ของมิกเซอร์อนาล็อกนั้น ค่อนข้างเข้าใจง่าย สามารถปรับแต่ง และแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

 

 

 

มิกเซอร์ดิจิตอล

เมื่อเทียบกับมิกเซอร์อนาล็อก มิกเซอร์ดิจิตอลจะมีความยืดหยุ่น และมีขนาดที่กะทัดรัดมากกว่า ด้วยการใช้ชิปประมวลผลสัญญาณทางดิจิตอล แทนวงจรแบบอนาล็อก ที่มีราคาแพง และมีขนาดใหญ่ มิกเซอร์ดิจิตอลสามารถใช้งาน Equalizer, Compressor, Effect, อุปกรณ์ Dynamic เสียงต่าง ๆ ได้มีความหลากหลาย และซับซ้อน

มิกเซอร์ดิจิตอลยังมีความยืดหยุ่น ในการเรียงของสัญญาณ (Signal flow) และการจัดกลุ่ม (Group) ของสัญญาณเสียงต่าง ๆ  สามารถควบคุมสัญญาณเสียงจากหลายช่อง โดยใช้ Fader ที่จำนวนไม่มาก โดยแบ่งเป็น Layer เช่น Layer A เป็น Input 1-16 , Layer B เป็น Input 17-32 , Layer C เป็น Input 33-40 เป็นต้น

การส่งสัญญาณเสียงผ่านดิจิตอลตาม Protocols ต่าง ๆ เช่น AVB, Dante, MADI เป็นต้น ไปยังอุปกรณ์ในระบบเสียง ได้เป็นจำนวนมาก และมีเสียงรบกวนที่น้อยกว่าในระบบอนาล็อก

การควบคุมผ่าน Wi-Fi ช่วยให้ ไม่ว่าจะเป็น Sound Engineer หรือศิลปินที่อยู่บนเวที สามารถควบคุมมิกเซอร์ดิจิตอลได้ง่าย จากระยะที่ไกลออกไป ด้วยอุปกรณ์ เช่น คอมพิวเตอร์, มือถือ, ipad เป็นต้น

ความสามารถในการบันทึก และเรียกค่าการปรับแต่งก่อนหน้า เหมาะสำหรับประเภทงานที่มีความซับซ้อน และยุ่งยาก ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณต้องมิกซ์เสียงให้วงดนตรีสด 3วง ในวันเดียวกัน มิกเซอร์ดิจิตอลจะตอบโจทย์ และสะดวกสบายมากกว่า มิกเซอร์อนาล็อกอย่างแน่นอน แต่ในกรณีเดียวกัน การเข้าถึงการปรับแต่ง เป็นเรื่องที่ยุ่งยาก มีข้อจำกัด หากผู้ใช้ไม่มีความคุ้นเคยในการใช้งานนั้นเอง

 
 

 

มิกเซอร์อนาล็อก หรือดิจิตอล ที่เหมาะกับคุณ? พิจารณาความแตกต่างได้ดังต่อไปนี้

 

การเลือกใช้งานระหว่างมิกเซอร์อนาล็อก หรือดิจิตอล

สำหรับงานที่ไม่มีความซับซ้อน ยุ่งยาก ยกตัวอย่างเช่น คาราโอเกะ, เปิดเพลง, พูดบรรยาย, การเรียนการสอน เป็นต้น สามารถใช้มิกเซอร์อนาล็อก ส่วนงานที่มีความซับซ้อน และยุ่งยากของคิวการแสดง เช่น งานคอนเสิร์ต, ละครเวที, Light and sound เป็นต้น สามารถใช้งานมิกเซอร์ดิจิตอล เพราะสามารถอำนวยความสะดวก พร้อมความละเอียดในการปรับ ตั้งค่าได้มากกว่ามิกเซอร์อนาล็อกอย่างแน่นอน

สุดท้ายนี้การเลือกใช้งานมิกเซอร์อนาล็อก หรือดิจิตอล ต้องคำนึงถึงการใช้งาน และความชำนาญของผู้ใช้เป็นหลักด้วยนั่นเอง

pic02

ลำโพงซับวูฟเฟอร์ การวางในงาน Live sound 2แบบ ต่างกันอย่างไร

ลำโพงซับวูฟเฟอร์ การวางในงาน Live sound

ลำโพงซับวูฟเฟอร์ การวาง ในงาน  Live sound แบบวางข้างเวทีซ้ายขวา(LR SUB) และวางเรียงกันกลางเวที(Center Sub)  จะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างไร 

Stage LR
 

การวางลำโพง Subwoofer แบบซ้ายขวาข้างเวที จะมีแหล่งกำเนิดเสียงความถี่ต่ำแบบ  2 จุด คลื่นเสียงจากตู้ลำโพงจะเสริมกัน และหักล้างกันในบางพื้นที่ จะสังเกตได้ว่า เสียงที่เกิดขึ้น ณ จุดต่างๆ ในบริเวณงานไม่เท่ากัน ส่วนใหญ่ บริเวณเส้นสมมาตรระหว่างตู้ หรือบริเวณกลางเวที จะมีความดังที่มาก เพราะระยะห่างจากผู้ฟัง ถึงตู้ลำโพงด้านซ้ายและตู้ลำโพงด้านขวา เท่ากัน คลื่นเสียง ใช้เวลาเดินทางมาถึงผู้ฟังพร้อมกัน ความถี่เสียงเดียวกันจึงเกิดการเสริมกัน จึงทำให้ความดังเพิ่มขึ้น

ในขณะเดียวกัน หากเปลี่ยนพื้นที่ในการรับฟังเป็นจุดที่เสียงจากตู้ลำโพงทั้งสองข้าง ใช้เวลาเดินทางมาถึงผู้ฟังไม่พร้อมกัน ในบางช่วงความถี่เสียง จะเกิดการหักล้างกัน ความดังจึงลดลง 

กรณีการวาง Subwoofer ด้านข้างเวที จะมีความดังของเสียงที่แตกต่างกันไป บางจุดเสียงดังมาก บางจุดเสียงเบามาก ตามตำแหน่งที่ฟัง 

การวางตู้ลักษณะนี้ สะดวกต่อการเซตอัพ ไม่ต้องใช้โปรเซสเซอร์ทำดีเลย์ให้ตู้แต่ละใบ ให้ความดังสูง แต่ต้องและด้วยจุดบอดที่เยอะเช่นกัน 

 
Stage center
 

การวางลำโพง Subwoofer แบบเรียงกันกลางเวที อาจวางชิดกันหรือเว้นช่องห่างกันเล็กน้อย โดยถือว่ามีแหล่งกำเนิดเสียงความถี่ต่ำที่เรียงต่อกันเป็นแนวยาว 1 ชุด จะสังเกตได้ว่า เสียงที่เกิดขึ้น ณ จุดต่างๆ ในบริเวณงานมีความดังใกล้เคียงกัน แม้ความดัง ณ ตำแหน่งที่มีการเสริมความถี่กันมากที่สุด จะดังไม่มาก แต่จุดบอด หรือจุดที่เสียงหักล้างความถี่กัน  จะน้อยกว่าการวางตู้แบบซ้ายขวา การวางตู้ลักษณะนี้ จำเป็นต้องตั้งค่า Delay ให้กับตู้แต่ละใบ เพื่อจัดการเรื่องเฟสให้เหมาะสม ให้เสียงมีความดังเฉลี่ยใกล้เคียงกันทั่วทั้งบริเวณงาน